วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556


หมู่เกาะพีพี

 หมู่เกาะพีพี เทือกเขาหินปูนกลางน้ำสีครามใส หาดทรายงามขาวสะอาดประกอบกันเป็นภูมิทัศน์ตระการตาที่มีเสน่ห์เฉพาะกิจ




   หมู่เกาะพีพีอยู่ห่างออกไปในทะเลราว 40 กิโลเมตร ในเขตของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีท้องที่อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 387 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ในทะเลอันดามัน ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินปูนกลางน้ำ อุดมด้วยปะการัง และทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม

  แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

          หมู่เกาะพีพีมีเกาะเด่น ๆ คือ เกาะพีพีดอนและเกาะพีพีเล



 เกาะพีพีดอน  เป็นเกาะที่สวยงามติดอันดับ 5 ของโลกด้วยอ่าวที่สวยงาม คือ อ่าวต้นไทรและอ่าวโละดาลัมที่อยู่ใกล้ชิดติดกัน คั่นกลางด้วยผืนดินแคบ ๆ เพียบพร้อมด้วยที่พัก ร้านค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว รอบเกาะมีแนวปะการังขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการอาบแดดเล่นน้ำทะเล ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอนยังมีเกาะไม้ไผ่และเกาะยุง  เกาะเล็ก ๆ ซึ่งงดงามด้วยหาดทรายขาวละเอียด แนวปะการังน้ำตื้น และสัตว์น้ำนานาชนิด เหมาะกับการดำน้ำตื้น




เกาะพีพีเล อยู่ทางใต้ของเกาะพีพีดอน มีอ่าวที่สวยงามและมีชื่อเสียงระดับโลกจากภาพยนตร์เรื่อง
 The Beach คืออ่าวมาหยาที่มีหาดทรายขาวล้อมรอบด้วยผาหินสูงชัน เหมาะกับการเล่นน้ำ ดำน้ำ ไม่ไกลจากอ่าวยังมีถ้ำไวกิง ซึ่งมีภาพเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งเก็บรังนกนางแอ่น บริเวณ
เกาะบิดะนอกและเกาะบิดะในซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ใกล้กัน ยังมีผาหินใต้น้ำสูงชัน ถ้ำใต้ทะเล ปะการังอ่อน รวมทั้งสัตว์น้ำประเภทกุ้งขนาดเล็ก เหมาะกับการดำน้ำลึก


ดอยอ่างขาง

  โครงการหลวงดอยอ่างขางพลิกฟื้นผืนป่าเสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ทั้งยังเพิ่มพูนความงดงามด้วยไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว แต้มแต่งสีสันตระการตาให้ขุนเขา




 ดอยอ่างขางเป็นที่ตั้งของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อยู่ในเขตบ้านคุ้ม หมู่ที่ 5 ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,400 เมตร มีพื้นที่ใช้ในการทำวิจัยประมาณ 1,200 ไร่ เกิดขึ้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมราษฎรชาวเขาบนดอย แล้วทอดพระเนตรเห็นการปลูกฝิ่นทำไร่เลื่อนลอยจึงมีพระราชประสงค์ให้ชาวเขาตามดอยต่าง ๆ ในภาคเหนือเลิกการปลูกฝิ่น ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท ซื้อที่ดินในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ในปี พ.ศ. 2512 โดยหม่อมเจ้าภีศเดช  รัชนี เป็นองค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวง สถานีเกษตรหลวงอ่างขางใช้เป็นสถานที่วิจัยทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ไม้ผล พืชผัก และไม้ดอกเมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขาในการนำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ

  แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

          เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ มี 2 เส้นทาง คือ เส้นทางเดินชมกุหลาบพันปี อยู่ด้านนอก ห่างจากปากทางเข้าสถานีฯ ประมาณ 4.5 กิโลเมตร โดยจุดที่สูงที่สุดคือเนินพันเก้า ซึ่งมีความสูงถึง 1,928 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง นักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางเท้าเพื่อขึ้นไปถึงจุดยอดเป็นระยะทาง 500-800 เมตร ซึ่งจะชมความงามของกุหลาบพันปีได้ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ส่วนในช่วงเดือนอื่นก็ยังจะมีพรรณไม้แปลกตาให้ได้ชื่นชมอีกเช่นกัน เส้นทางศึกษาธรรมชาติของสถานีเกษตรหลวงอ่างขางนั้นกำหนดขึ้นบริเวณรอบสถานีฯ มีเส้นทางทั้งหมด 10 เส้นทางด้วยกัน และต้นไม้ที่ปลูกในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาตินั้น จะเป็นต้นไม้ที่นำเข้ามาจากไต้หวันทั้งหมด



 เส้นทางขี่จักรยานชมธรรมชาติ เป็นเส้นทางจากรีสอร์ตธรรมชาติอ่างขางเข้าเยี่ยมชมด้านในสถานีฯ ตลอดทางก็จะได้ชมธรรมชาติและแปลงเกษตรทดลอง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเช่าจักรยานจากสโมสรอ่างขางได้ หรือหากอยากเปลี่ยนบรรยากาศขี่ล่อ สัตว์ลูกผสมระหว่างม้าและลา ซึ่งแต่เดิมเป็นสัตว์พาหนะสำคัญของชาวเขาบนดอยแถบนี้ ก็สามารถติดต่อได้ที่สโมสรอ่างขางเช่นกัน




 กิจกรรมดูนก ดอยอ่างขางเป็นสถานที่ที่มีนกมากมายกว่า 1,000 ชนิด บางชนิดเป็นนกที่ใกล้สูญพันธุ์หาดูได้ยาก จุดที่เหมาะสำหรับการดูนก คือ บริเวณหน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะบริเวณรอบรีสอร์ตธรรมชาติอ่างขาง และเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้านหลังสำนักงานของสถานีฯ


วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556


Hormones วัยว้าวุ่น




ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น (อังกฤษHormones) เป็นรายการโทรทัศน์ประเภทละครชุด เกี่ยวกับเรื่องราวของกลุ่มนักเรียน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลิตโดยจีทีเอชและนาดาวบางกอก กำกับการแสดงโดยทรงยศ สุขมากอนันต์ ซึ่งมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น (มีชื่อเรื่องเป็นภาษาอังกฤษว่า Hormones เช่นเดียวกับละครชุดเรื่องนี้) และท็อป ซีเคร็ต วัยรุ่นพันล้าน ออกอากาศทางช่องโทรทัศน์ผ่านระบบดาวเทียม จีเอ็มเอ็มวัน ทุกวันเสาร์ เวลา 22:00 น. – 23:00 น. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 และออกอากาศซ้ำทางช่องเพลย์ จีทีเอชออนแอร์ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 22:00 – 23:00 น. ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ผู้ผลิตจึงมีแผนจัดทำภาคต่อเป็นฤดูกาลที่ 2 โดยจะเป็นเรื่องราวของนักเรียนกลุ่มเดิม ที่เลื่อนชั้นขึ้นไปเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั้งนี้ ผู้กำกับทรงยศ สุขมากอนันต์ ขึ้นมาเป็นโปรดิวเซอร์แทนวิชชพัชร์ โกจิ๋ว โดยมีเกรียงไกร วชิรธรรมพร หนึ่งในคณะผู้เขียนบท ขึ้นมาเป็นผู้กำกับการแสดงแทน




นักแสดง


นักแสดงบทบาท
นักเรียนโรงเรียนนาดาวบางกอก
อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธาขวัญ (ของขวัญ)
พชร จิราธิวัฒน์วิน (ชัยชนะ)
สุทัตตา อุดมศิลป์เต้ย (ธนิดา)
ธนภพ ลีรัตนขจรไผ่ (พลวัต)
สุภัสสรา ธนชาติสไปรท์
กันต์ ชุณหวัตรต้า (โอฬาร)
ศนันธฉัตร ธนพัฒน์พิศาลดาว (ดุจดาว)
ศิรชัช เจียรถาวรหมอก (ธวิช)
จุฑาวุฒิ ภัทรกำพลภู (ภูเบศร์)
เสฎฐวุฒิ อนุสิทธิ์ธีร์
ณภัทร โชคจินดาชัยป๊อป (ภณัท)
เขมิศรา พลเดชก้อย (วิริยา)
ต้นหน ตันติเวชกุลเภา
อติคุณ อดุลโภคาธรสมพงษ์
อวัช รัตนปิณฑะโอ๊ค (อวัช)
โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์แจ็ค (วิกรม)
วรพงษ์ รัตนเมธานนท์ง้วน
ณัฐณิชา เหลืองอนันต์คุณบี
ปภาวี โชติประทุมเวชผึ้ง
พิมพ์ลพัฒ สุรพันธ์เมย์ (พิมพ์ลภา)
ธีรัชชา ไรวากานต์ (ธีรัชชา)
อุรัสยา พงศ์เจญหญิง
ปิยวัฒน์ เต็มวัฒนางกูรโหน่ง
ปิยะ สมชัยชนะไมค์กี้
ครูโรงเรียนนาดาวบางกอก
สุรพล พูนพิริยะผู้อำนวยการ
ภัทรวรินทร์ ทิมกุลครูอรทัย (ครูอ้อ)
จิราวัฒน์ วชิรศรัณย์ภัทรครูนิพนธ์
อดิสรณ์ ตรีสิริเกษมครูสกล
ชันษา สุวรรณวนิชครูวิไล
ชญาภา เลิศพิมลชัยครูพจนารถ
กฤตวิชญ์ เศรษฐชัยครูพละ
เกรียงไกร วชิรธรรมพรครูวงโยฯ
นักเรียนต่างสถาบัน
เมธากร สุภาภัณฑารีดิน
จาตุรนต์ ศิริชีวกุลเป๊ก (รุ่นพี่โรงเรียนนาดาวฯ)
พนัทชัย กิตติสติมาปั้น (นักเรียนสายชลวิทยา)
วิรพร จิรเวชสุนทรกุลมิ้น
วศิน อัศวนฤนาทพอร์ช



การผลิต
ผู้บริหารจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ต้องการให้ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ ผลิตละครสำหรับออกอากาศทางช่องวันโดยเฉพาะ เขาใช้เวลาเตรียมตัวทำงานนานร่วมปี เนื้อเรื่องได้แรงบันดาลใจ มาจากประสบการณ์ในชีวิตจริงของย้ง เมื่อครั้งศึกษาชั้นมัธยมต้นและปลาย ที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ตามลำดับ ร่วมกับการสัมภาษณ์นักแสดง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการเขียนบท และการพัฒนาบทบาทของแต่ละตัวละคร
โดยการถ่ายทำจริง ย้ง ได้เลือกสถานที่ถ่ายทำหลักคือโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี แต่ใช้เทคนิคพิเศษ เปลี่ยนป้ายชื่อหลักหน้าโรงเรียนเป็นโรงเรียนนาดาวบางกอกแทน และเริ่มถ่ายทำจากฉากแรกสุด คือฉากที่เปิดตัว วิน ตาร์ หมอก แบบในความคิดของดาว แต่เมื่อถ่ายทำเสร็จและตัดต่อเสร็จ ปรากฎว่าฉากนี้ถูกตัดทิ้ง เราจึงไม่ได้เห็นฉากที่ว่านี้ จากนั้นไม่นานก็ต้องยกกองไปถ่ายทำฉากจบที่งาน Big Mountain 2012 ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งการถ่ายทำฉากนั้นถือว่าเป็นการสร้างความลำบากใจให้นักแสดงและผู้กำกับพอสมควร เพราะเริ่มกองมาได้แค่สองอาทิตย์แต่ต้องมาถ่ายฉากจบเลย และสองการถ่ายทำที่ Big Mountain ในช่วงเช้าต้องให้แสตนด์อินเล่นเป็นตาร์แทน เพราะกันต์ยังเล่นกีตาร์ไม่คล่อง และต้องถ่ายฉากนี้ในตอนกลางวัน เพราะไม่สามารถแทรกเข้าไปถ่ายช่วงกลางคืนได้ ส่วนการถ่ายทำตอนกลางคืนซึ่งเป็นเวลาที่เริ่มงานไปแล้วนั้น ผู้เข้าร่วมงานปกติไม่รู้ว่ามีการถ่ายละครซีรียส์ในงานนี้ด้วย จนทำให้เมื่อเห็นนักแสดงหลักของเรื่อง ก็ต่างกันพาเข้าไปขอลายเซ็นต์ และขอถ่ายรูป ซึ่งก็ทำให้ต้องเทคและถ่ายใหม่ โดยมีเวลาที่จำกัดมาก เพราะคอนเสิร์ตไม่รอละคร ถ่ายผิดก็ต้องถ่ายใหม่ทันที จนในที่สุดกว่าจะได้ฉากจบในตอนที่ 13 ต้องใช้เวลาถ่ายกันนานพอสมควร
หลักจากนั้นก็กลับมาปักหลักถ่ายทำที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีจนครบทุกฉากในโรงเรียน และบางฉากต้องเข้าไปยืมตัวนักเรียนของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีปกติ ให้เข้ามาเป็นตัวประกอบเสริมในเรื่องด้วย หลังจากถ่ายครบหมดแล้วจึงเดินทางไปยังจังหวัดสมุทรปราการเพื่อถ่ายฉากสุดท้าย คือฉากที่ไผ่ (ต่อ) ตัดสินใจบวชเป็นพระ ซึ่งใช้เวลาในการเซ็ตตัวต่อตั้งแต่เช้ามืดจนรุ่งเช้า และถ่ายทำกันแบบไม่พักให้จบในวันเดียวเช้ายันดึก ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดี
แต่หลังจากกระแสตอบรับค่อนข้างสูง และจีทีเอชมีแผนที่จะฉายฉากจบในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ สาขารัชโยธินนั้น ย้งต้องกลับมาตัดต่อตอนที่ 13 ใหม่ทั้งหมด โดยไม่มีโฆษณาคั่น และรันละครยาว 50 นาทีไปเลย ซึ่งกว่าจะตัดต่อเสร็จ ก็ใช้เวลาจนถึงสี่โมงเย็น ก่อนจะนำตัวมาสเตอร์มาให้ทางเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์เพื่อนำไปติดตั้งและเทสระบบฉายต่อไป




ดอกโมก




  ด้วยดอกของต้นโมกที่มีสีขาวสะอาด มองแล้วรู้สึกสบายตา อีกทั้งให้ความรู้สึกสบายใจ พร้อมกลิ่นหอมระเรื่อ ทำให้รู้สึกสดชื่นตลอดทั้งวัน ประกอบกับที่คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์ ยิ่งทำให้ต้นโมกเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับคนที่อยากจะปลูกไม้ดอก ไม้ประดับเพื่อตกแต่งสวนในบ้าน ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงไม่รอช้านำข้อมูลของ ต้นโมก ไม้ดอกกลิ่นหอม ๆ ชนิดนี้มาฝากกัน แล้วคุณจะรู้ว่าต้นโมกนั้นปลูกได้ไม่ยากเลยค่ะ....
  ลักษณะของต้นโมก

      ต้น  เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีนำตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็ก ๆ สีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบ

      ใบ  ใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบลักษณะใบ เป็นรูปไข่ รี ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร

      ดอก  ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาด ประมาณ 2 เซนติเมตร

      ฝักหรือผล  รูปทรงกระบอกจะออกมาเป็นคู่ ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีเมล็ดเรียงอยู่เป็นจำนวนมาก ขนาดความยาวของฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร

      เมล็ด  จำนวนมาก มีขนสีขาวเป็นกระจุกที่ปลาย  ออกดอกตลอดปี




  ประโยชน์ของต้นโมก

          คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์เพราะ โมก หรือ โมกข หมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง สำหรับส่วนของดอกก็มีลักษณะ สีขาว สะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน นอกจากนี้ ยังช่วยคุ้มครองปกป้องภัยอันตรายเพราะต้นโมกบางคนเรียกว่าต้นพุทธรักษา ดังนั้น จึงมีความเชื่อว่าต้นโมกสามารถคุ้มกันรักษาความปลอดภัยทั้งปวงจากภายนอกได้เช่นกัน และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโมกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์

นอกจากนี้ โมกยังมีสรรพคุณทางยาเช่นกัน ดังนี้

      ราก ใช้รักษาโรคผิวหนัง เรื้อน คุดทะราด แก้พิษสัตว์กัดต่อย

      ใบ ใช้ขับน้ำเหลือง

      ดอก เป็นยาระบาย 

      เปลือก เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร รักษาโรคไต

      ยางจากต้น ช่วยรักษาโรคบิด

  วิธีการปลูกต้นโมก

      การปลูกโมกลงดินในแปลงปลูก

          การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก

      การปลูกโมกในกระถาง

          การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ขุยมะพร้าว : ดินร่วนอัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางบ้างแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มและการเจริญเติบโตของทรงพุ่ม และควรเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินเดิมที่เสื่อมสภาพไป

  การดูแลรักษาต้นโมก

      แสง ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง

      น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง

      ดิน ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นปานกลาง

      ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-6 ครั้ง

  การขยายพันธุ์ต้นโมก

          มีทั้งการตอน, การเพาะเมล็ด และ การปักชำ แต่วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การปักชำ โดยการปักชำต้นโมกนั้นทำได้โดยการตัดกิ่ง จากนั้นนำเอาไปปักชำไว้ในดินที่ไม่อุ้มน้ำมากเกินไป ที่สำคัญคือกิ่งที่ปักชำนั้นต้องโดนแดดส่องถึงเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต แต่ต้องไม่โดนแดดจัดมากเกินไปนัก ทั้งนี้ต้นโมกไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร


ดอกโบตั๋น



เชื่อว่าใครที่ติดตามดูละครเรื่องกี่เพ้า คงจะเห็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่เจ้าหมิงเทียน พระเอกของเรื่องมอบให้แก่เมย์ลี เป็นดอกไม้สีชมพูที่มีรูปร่างลักษณะที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันโดยทั่วไป แต่ก็มีความสวยงาม น่าหลงใหล ดึงดูดใจให้คนที่มองชื่นชอบในเจ้าดอกนี้ยิ่งนัก และหลายคนอาจคิดไปว่า ดอกดังกล่าวนั้นมีแต่เพียงในวรรณคดีจีนเท่านั้น ทว่าดอกไม้ที่ว่านี้มีอยู่จริง และมีชื่อเรียกว่า "ดอกโบตั๋น" ...ว่าแล้ววันนี้ เราก็ขอพาเพื่อน ๆ มารู้จักกับดอกไม้สวย ๆ ดอกนี้กันค่ะ ใครที่ชอบดอกโบตั๋น ตามมาเลยจ้า
 
ลักษณะทั่วไป
 
          โบตั๋น เป็นไม้ดอกสกุล Paeonia ซึ่งเป็นสกุลเดียว ในวงศ์ Paeoniaceae เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชีย, ตอนใต้ของยุโรป และตะวันตกของอเมริกาเหนือ ในอดีต โบตั๋นมักถูกจัดอยู่ในวงศ์ Ranunculaceae โดยพืชสกุลโบตั๋นส่วนใหญ่เป็นไม้ล้มลุกหลายปี สูงประมาณ 0.5–1.5 เมตร บางชนิดเป็นพุ่ม ลำต้นมีเนื้อไม้ สูง 1.5-3 เมตร ลักษณะของใบเป็นใบประกอบ มีแฉกลึก ดอกใหญ่ และมักมีกลิ่นหอม มีหลายสี ตั้งแต่ แดง บานเย็น เหลือง จนถึงขาว มักออกดอกในช่วงต้นฤดูร้อน

ตำนานและชื่อเรียกในภาษาต่าง ๆ
 
          สำหรับชื่อ "โบตั๋น" ในภาษาไทยนั้น มาจากชื่อดอกไม้นี้ในภาษาญี่ปุ่นว่า "โบะตัง" แต่บางคนก็ว่า มาจากชื่อในภาษาจีนว่า "หมู่ตัน"  ส่วนในภาษาอังกฤษเรียกว่า "peony" โดยมีตำนานเล่าว่า ตั้งตามชื่อของไพอัน (Paean) ศิษย์คนหนึ่งของเอสเคลปิอัส เทพเจ้าแห่งการแพทย์ของกรีกโบราณ ต่อมาเอสเคลปิอัสอิจฉาลูกศิษย์ของตน เทพเซอุสช่วยไพอันให้พ้นภัยโดยสาปให้กลายร่างเป็นดอกโบตั๋น
 
          ในสมัยโบราณ ดอกโบตั๋นเป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงกันในหมู่ชนชั้นสูง ซึ่งบางครั้งราคาประมูลขายกันแพงมาก จนสุดยอดกวีราชวงศ์ถังท่านหนึ่ง ชื่อ ไป๋จวีอี้ กล่าวไว้ว่า "อี้ฉงเซินเซ่อฮวา สือฮุจงเหรินฝู้" ซึ่งหมายความว่า โบตั๋นเพียงไม่กี่ดอกยังมีมูลค่ามากกว่าเงินภาษีของชนชั้นกลางสิบคนเสียอีก
 
          ทั้งนี้ มีเรื่องเล่ากันว่าสมัยพระนางบูเช็คเทียน พระองค์เคยโปรดดอกโบตั๋นมาก สมัยนั้นโบตั๋นยังมีแพร่หลายในเมืองฉางอาน เมืองหลวงของจีนในสมัยนั้น หรือซีอานในปัจจุบัน วันหนึ่งในฤดูหนาว พระนางบูเช็คเทียน เกิดอยากชมดอกไม้ขึ้นมา จึงออกคำสั่งให้ดอกไม้บานโดยพร้อมเพรียงกัน มีแค่ดอกโบตั๋นเท่านั้น ที่ไม่ยอมบาน เนื่องจากเห็นว่าไม่ถึงฤดูกาล เมื่อดอกโบตั๋นไม่ยอมบาน พระนางฯ ก็โกรธมาก สั่งเผาอุทยาน แล้วให้ถอนรากถอนโคนดอกโบตั๋น เอาไปทิ้งที่เขาเป่ยหมาง ในเมืองลั่วหยาง แต่ไม่คิดว่าโบตั๋นจะปลูกได้ดีที่นี่ ลั่วหยางก็เลยกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกโบตั๋นที่สำคัญไป และจากสาเหตุที่โดนเผา จึงกลายเป็นที่มาว่าทำไมต้นโบตั๋นจึงแห้งและมีสีเข้มเหมือนถูกไฟเผา
 


สัญลักษณ์และการใช้
 
          ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ที่นิยมใช้ในงานศิลปะมายาวนาน และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติของจีน คนจีนยกให้เป็นดอกไม้ของจักรพรรดิ ถือเป็นดอกไม้แห่งเกียรติยศและความร่ำรวย กับนิยมใช้ในเชิงสัญลักษณ์ในศิลปะจีนอีกด้วย โดยเมื่อ ค.ศ. 1903 ราชวงศ์ชิงประกาศให้โบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำชาติ ปัจจุบันนี้ไต้หวันใช้ดอกเหมยเป็นดอกไม้ประจำชาติ ขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้ใช้เป็นดอกไม้ประจำชาติตามกฎหมายอีกแล้ว และต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1994 มีการเสนอให้ใช้ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำชาติอีก โดยการทำประชามติ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ กระทั่ง ค.ศ. 2003 มีการเสนอเรื่องดังกล่าวอีกครึ่งหนึ่ง และยังไม่มีการเลือกใช้ดอกโบตั๋นอีกเช่นกัน

          ทั้งนี้ เมืองลั่วหยาง เมืองหลวงเก่าของจีน มีชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางการปลูกดอกโบตั๋นที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์จีน มักจะยกย่องโบตั๋นจากลั่วหยางว่างดงามที่สุดในแผ่นดิน ปัจจุบัน มีการจัดนิทรรศการและการแสดงดอกโบตั๋นในเมืองนี้ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี จัดกันเต็ม ๆ 1 เดือน มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีน ทั้งชาวต่างชาติ มาชมเทศกาลนี้ถึงกว่าล้านคนทีเดียว
 
          ขณะที่ในประเทศญี่ปุ่น ดอกโบตั๋นชนิด Paeonia lactiflora เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ebisugusuri แปลว่า ยาจากต่างแดน ตามตำรับยาของญี่ปุ่น ถือว่ารากโบตั๋นใช้รักษาอาการชักได้ นอกจากนี้ยังปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ โบตั๋นชนิด Paeonia suffruticosa ในญี่ปุ่น ถือว่าเป็น "ราชาแห่งดอกไม้" และชนิด Paeonia lactiflora ถือว่า เป็น นายกรัฐมนตรีแห่งดอกไม้
 
          ส่วนในรัฐอินเดียนา ของสหรัฐอเมริกา ใช้ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำรัฐมาตั้งแต่ ค.ศ. 1957 โดยใช้แทนดอก zinnia ที่เคยใช้เป็นดอกไม้ประจำรัฐมาตั้งแต่ ค.ศ. 1931
 



สรรพคุณทางยา
 
          แรกเริ่มเดิมทีนั้น ดอกโบตั๋นยังรู้จักกันไม่แพร่หลายนัก แค่ชาวจีนรู้กันว่าสามารถนำมาทำยาได้ ทั้งนี้ รากของดอกโบตั๋น สามารถใช้ทำเป็นยารักษาโรคระดูผิดปกติในผู้หญิง โรคหืด โรคชักได้ และสารสกัดจากดอกโบตั๋นยังมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงดูแลให้ผิวชุ่มชื่น เปล่งปลั่งและเมื่อนำมาผสมผสานสารสกัดจากมะละกอ และผลเบอร์รี่จากแคริบเบียน จึงออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรอบดวงตา Eye Off Shade เจลใสที่ช่วยแก้ไขปัญหารอยคล้ำรอบดวงตา ช่วยให้ผิวรอบดวงตาคุณสดชื่น เปล่งปลั่ง
 






 



ดอกโป๊ยเซียน






ชื่อสามัญ                 Crow of Thorns
ชื่อวิทยาศาสตร์         Euphorbia millii.
วงศ์                        EUPHORBIACEAE

ลักษณะทั่วไป
โป๊ยเซียน์เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดย่อม ลำต้นมีความสูงประมาณ 3-5 ฟุต ลำต้นมีหนามปกคลุม หนามแหลม และแข็ง เปลือกลำต้นมีสีเทาหรือเขียวจัด เมื่อกรีดดูลำต้นจะมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกจากยอดและลำต้นจะทยอยกันออก ลักษณะใบมนรีค่อนค้างแคบเรียวแหลมขอบใบเรียบพื้นใบสีเขียวดอกออกตามปลายกิ่งออกดอกตามปลายกิ่งหรือส่วน
ยอดดอกมีขนาดเล็กมีสีแดง เหลือง ชมพู มีกลีบดอก 1 คู่ เป็นรูปไต มีขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร ลักษณะลำต้น ใบ และดอก จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
  โป๊ยเซียน ต้นไม้แห่งโชคลาภตามความเชื่อถือแต่โบราณ จัดเป็นไม้อวบน้ำอยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่มาก พบได้ทั่วไปในประเทศเขตร้อน พืชในวงศ์นี้มีมากกว่า 300 สกุล  โป๊ยเซียนจัดเป็นพืชที่อยู่ในสกุล Euphorbia ซึ่งพืชในสกุลนี้มีไม่ต่ำกว่า 2,500 ชนิด ได้แก่ คริสต์มาส สลัดได ส้มเช้า หญ้ายาง และ กระบองเพชรบางชนิด   โป๊ยเซียนหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามงกุฎหนาม(Crown of Thorns) เนื่องจากลักษณะของลำตันที่มีหนามอยู่รอบเหมือนมงกุฎ นอกจากนี้ยังมีชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯ เรียก ไม้รับแขก เชียงใหม่ เรียก ไม้ระวิงระไว, พระเจ้ารอบโลก หรือ ว่านเข็มพระอินทร์ แม่ฮ่องสอน เรียก ว่านมุงเมือง แต่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันในชื่อ โป๊ยเซียน มาช้านาน คำว่า โป๊ยเซียน เป็นคำในภาษาจีน แปลว่า เทพยดาผู้วิเศษ 8 องค์ ดังนั้นจึงมีความเชื่อกันว่าถ้าโป๊ยเซียนออกดอกครบ 8 ดอกในหนึ่งช่อจะนำความโชคดีให้แก่ผู้ปลูกเลี้ยง ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้สันนิษฐานว่าชาวจีนน่าจะเป็นผู้นำโป๊ยเซียนเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทยครั้งสมัยที่มีการติดต่อค้าขายกับคนไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแต่เดิมนั้นดอกของโป๊ยเซียนจะมีขนาด 1-2 ซม. เท่านั้น แต่ในปัจจุบันคนไทยได้ผสมพันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์โป๊ยเซียนจนมีขนาดดอกใหญ่กว่า 6 ซม. นอกจากนี้ดอกยังมีสีสันที่สวยงามจนอาจกล่าวได้ว่าโป๊ยเซียนไทยดีที่สุดในโลก
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์โป๊ยเซียนทำได้หลายวิธี คือ  การปักชำกิ่ง  การตอนกิ่ง  การเสียบกิ่ง  การเพาะเมล็ด
การปักชำกิ่ง
เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ง่ายและประหยัดนอกจากนี้ยังขยายพันธุ์ได้คราวละมากๆต้นใหม่ที่ได้จะมีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการแต่จะใช้เวลาในการงอกของรากนานและโอกาสที่ กิ่งชำจะเน่าก็มีมากดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปักชำจึงควรเป็นช่วงฤดูหนาวคือช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม
ขั้นตอนการปักชำกิ่งมีดังนี้
  1. เลือกต้นที่มีกิ่งแขนงไม่แก่หรืออ่อนเกินไปโดยสังเกตุที่สีของกิ่งต้องมีสีเข้มคล้ำแต่ก็ไม่ดำเพราะถ้ากิ่งแก่มากจะออกรากยากถ้ากิ่งอ่อนมากจะเน่าได้ง่าย
  2. งดใส่ปุ๋ยและงดการให้น้ำอย่างน้อย 5-7 วัน
  3. ใช้มีดที่คมและสะอาดตัดกิ่งที่เลือกไว้ยาวประมาณ4-5นิ้วถ้าเป็นกิ่งแขนงที่มีความยาว4-5นิ้วอยู่แล้วให้ตัดให้ชิดกับลำต้นจะช่วยให้กิ่งชำเน่ายากขึ้น
  4. เด็ดใบที่โคนกิ่งชำออกให้เหลือใบที่ยอดประมาณ 5-6 ใบ แล้วล้างยางที่บริเวณรอยตัดและรอยเด็ดใบด้วยน้ำสะอาด
  5. ใช้ปูนแดงหรือยาป้องกันเชื้อราทาตรงบริเวณรอยตัดของต้นแม่ เพื่อป้องกันเชื้อราเข้าแผล
  6. เมื่อเตรียมกิ่งชำเรียบร้อยแล้ว การปักชำสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การปักชำดินและการปักชำน้ำ
    • การปักชำดิน นำกิ่งชำที่เตรียมไว้จุ่มในน้ำยาเร่งราก เช่น เซราดิกซ เบอร์ 1, รู๊ธโกร ฮอร์โมน หรือ เอ็กซ์โซติก แล้วทิ้งไว้ 3-4 ชม. เพื่อให้แผลแห้ง
    • จากนั้นนำไปปักชำในวัสดุปักชำที่มีส่วนผสมของขี้เถ้าแกลบกับทรายหรือขุยมะพร้าวในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง ปักชำให้กิ่งชำลึกประมาณ 1-2 นิ้ว กดดินโดยรอบให้แน่น รดน้ำผสมยาป้องกันเชื้อราและวิตามิน B1ให้ชุ่ม หลังจากปักชำแล้วประมาณ 5-6 สัปดาห์ ก็จะงอกรากและแตกใบอ่อนเมื่อแข็งแรงดีแล้วจึงย้ายลงปลูกในกระถางใหม่
    • การปักชำน้ำ เก็บกิ่งชำไว้ในที่ๆ ไม่มีลมพัดผ่านหรือในภาชนะที่สะอาด ประมาณ 24-30 ชม. จากนั้นนำไปชำในขวดที่สะอาด (ส่วนมากนิยมใช้ขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เช่น ขวดลิโพ) โดยใส่น้ำให้ต่ำกว่าปากขวดแล้วหยดน้ำยาเร่งราก เอ็กซ์โซติก ลงไป 2-3 หยด แช่โคนกิ่งชำลงไปในน้ำประมาณ 1-2 เซนติเมตร จากนั้นนำไปตั้งไว้ในที่แสงรำไรประมาณ 2-3 สัปดาห์ รากก็จะเริ่มงอกออกมา เมื่อรากยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร จึงย้ายลงปลูกในกระถางต่อไป
การตอนกิ่ง
ใช้เมื่อต้นพันธุ์ดีมีความสูงเกินไปและทิ้งใบทำให้ดูเก้งก้างไม่สวยงามการตอนจะช่วยให้ได้ต้นใหม่ที่มีขนาดเตี้ยลงแต่มีความแข็งแรงและเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
สามารถตั้งทำดอกประกวดได้เร็ว ขั้นตอนการตอนกิ่งมีดังนี้
  1. เลือกต้นพันธุ์ดีที่จะทำการตอน ใช้มีดที่คมและสะอาดเฉือนลำต้นเข้าไปประมาณเกือบครึ่งลำต้น ใช้กระดาษชำระเช็ดยางออกให้หมด
  2. ใช้ไม้จิ้มฟันมาเสียบเข้าไปในแผลให้อ้าออก ทายาเร่งรากเข้าไปในแผลให้ทั่ว
  3. นำตุ้มขุยมะพร้าวที่รดด้วยยาป้องกันเชื้อราและวิตามินB1มาผ่ากลางแล้วหุ้มลำต้นตรงรอยผ่ามัดหัวท้ายตุ้มเข้ากับลำต้นให้แน่น จากนั้นหาไม้หลักมาปักผูกลำต้นไว้กันไม่ให้โยกคลอน
  4. รากของกิ่งตอนจะออกเต็มตุ้มขุยมะพร้าวภายใน30-60วันจากนั้นจึงตัดกิ่งตอนออกจากต้นเดิม ทารอยตัดด้วยปูนแดงหรือยาป้องกันเชื้อราทั้งส่วนที่เป็นต้นตอและกิ่งตอน
  5. เมื่อแผลที่กิ่งตอนแห้งดีแล้วจึงนำไปปลูกลงดินต่อไป
การเสียบกิ่ง
เป็นการนำกิ่งพันธุ์ที่ดีราคาแพงมาเสียบกับต้นตอที่ราคาถูกและแข็งแรงซึ่งพันธุ์ที่นิยมใช้เป็นต้นตอคือพันธุ์แดงอุดมวิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้ปลูกเลี้ยงโป๊ยเซียนนิยมกันมาก
ทั้งนี้เพราะต้นใหม่ที่ได้จะแข็งแรงและมีโอกาสรอดสูง อีกทั้งยังใช้เวลาสั้นกว่าการขยายพันธุ์แบบอื่น ขั้นตอนที่สำคัญมีดังนี้
  1. การเตรียมต้นตอ ต้นตอที่นิยมใช้เป็นโป๊ยเซียนพันธุ์แดงอุดม เนื่องจาก มีลำต้นแข็งแรง หาอาหารเก่ง ทนทานต่อโรคและสภาพแวดล้อมได้ดี วิธีการเตรียมต้นตอมีดังนี้
    • ต้นตอที่ใช้ควรเป็นต้นตอที่มียอดพุ่งหรือที่ยอดมีใบใหม่แตกออกมา แสดงว่าต้นตอแข็งแรงและมีระบบรากเติบโตเต็มที่ และควรเลือกต้นตอที่มีขนาดเท่ากับหรือใหญ่กว่ากิ่งพันธุ์ที่จะนำมาเสียบ งดให้น้ำและงดให้ปุ๋ยต้นตอประมาณ 2-3 วัน หรือจนดินแห้ง
    • ใช้มีดที่คมและสะอาด ตัดยอดต้นตอให้สูงจากดิน 3-5 ซม. ซับยางที่ต้นตอออกด้วยกระดาษชำระหรือผ้าที่สะอาด จากนั้นใช้มีดผ่าต้นตอเป็น รูปปากฉลาม หรือ รูปตัว V ลึกประมาณ 1-2 ซม. ส่วนยอดของต้นตอที่ตัดออกสามารถนำไปปักชำเพื่อทำเป็นต้นตอได้ต่อไป
  2. การเตรียมกิ่งพันธุ์ กิ่งพันธุ์ที่จะนำมาเสียบกับต้นตอควรเป็นกิ่งพันธุ์ดีที่มีราคาแพง วิธีการเตรียมกิ่งพันธุ์มีดังนี้
    • กิ่งพันธุ์ต้องไม่แก่หรืออ่อนเกินไป งดให้น้ำและงดให้ปุ๋ยต้นตอประมาณ 3-5 วัน
    • ใช้มีดที่คมและสะอาด ตัดยอดกิ่งพันธุ์ยาว 3-5 ซม ซับยางออกด้วยกระดาษชำระหรือผ้าที่สะอาด ถ้ากิ่งพันธุ์มีใบมากให้ตัดใบออกบ้างเพื่อลดการคายน้ำ จากนั้นปาดโคนกิ่งเป็นรูปลิ่ม หรือ รูปตัว V ให้มีความยาวพอกับปากฉลามของต้นตอที่เตรียมไว้
  3. การเสียบกิ่ง เป็นขั้นตอนการนำกิ่งพันธุ์มาเสียบกับต้นตอที่เตรียมไว้ ขั้นตอนในการเสียบกิ่งมีดังนี้
    • ใช้เชือกฟางฉีกเป็นเส้นเล็กๆยาว 12-20 นิ้ว มัดต้นตอใต้รอยบากให้เชือกเงื่อนอยู่ตรงข้ามกับด้านที่มีหนามแหลมสองหนาม เพื่อใช้ในการรั้งเชือกที่โยงยึดกิ่งพันธุ์ดี
    • นำกิ่งพันธุ์ดีมาเสียบกับต้นตอ ถ้ากิ่งพันธุ์มีขนาดเล็กกว่าต้นตอ ควรเสียบชิดไปด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นนำปลายเชือกทั้งสองเส้นโยงขึ้นรั้งกับหนามหรือใบของกิ่งพันธุ์ดี แล้วโยงข้ามมารั้งกับหนามทั้งสองของต้นตอ ดึงเชือกทั้งสองให้กิ่งพันธุ์แนบสนิทกับต้นตอพร้อมทั้งไขว้เชือกทั้งสองกลับมาพันบริเวณรอยต่อระหว่างต้นตอกับกิ่งพันธุ์หลายๆ รอบ จากนั้นจึงมัดปลายเชือกทั้งสองเข้าด้วยกันจนแน่น
    • นำต้นที่ทำการเสียบกิ่งเรียบร้อยแล้วใส่ในถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่นวางไว้ในที่มีแดดรำไร ประมาณ 7 วันจึงนำออกจากถุงพลาสติก ควรทำในเวลากลางคืนเพื่อให้ต้นโป๊ยเซียนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกได้
    • หลังจากนั้นควรรดน้ำให้เล็กน้อยโดยระวังอย่าให้น้ำถูกรอยแผล จนกว่ารอยแผลจะเชื่อมดีแล้วจึงให้น้ำได้ตามปกติ
การเพาะเมล็ด
ส่วนใหญ่จะทำการเพาะเมล็ดเมื่อมีการผสมพันธุ์โป๊ยเซียนจากเกษรตัวผู้และตัวเมียที่ต่างสายพันธุ์กัน จุดประสงค์เพื่อให้ได้โป๊ยเซียนพันธุ์ใหม่ที่เรียกกันว่า "ลูกไม้" ที่มีลักษณะของ ลำต้น ดอก หนาม ใบ และอื่นๆ ที่ดีกว่าเดิม  เมล็ดที่ได้จากการผสมพันธุ์มีวิธีการเพาะดังนี้
  1. เตรียมภาชนะที่ใช้ในการเพาะเมล็ดอาจใช้กระถางหรือกะบะพลาสติกก็ได้แต่ควรเป็นภาชนะที่ระบายน้ำได้ดีไม่มีน้ำขัง นำวัสดุเพาะที่มีส่วนผสมระหว่างขุยมะพร้าวกับทรายในอัตราส่วนเท่าๆ กัน เทลงในภาชนะแล้วเกลี่ยให้เรียบพร้อมกับกดให้แน่นพอประมาณ
  2. นำเมล็ดที่ได้จากการผสมพันธุ์โดยใช้เมล็ดแก่สังเกตุจากเมล็ดที่เป็นสีน้ำตาลมาวางไว้บนวัสดุเพาะแล้วกลบด้วยวัสดุเพาะหนาประมาณ1ซม. รดด้วยน้ำที่ผสมยาป้องกันเชื้อรา
  3. นำภาชนะเพาะไปตั้งบริเวณที่มีแสงรำไรอากาศถ่ายเทได้สะดวก  รดน้ำวันละครั้งแต่อย่าให้แฉะ ประมาณ 1-2 สัปดาห์จะมีต้นกล้างอกเจริญเติบโตขึ้นมา เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตจนมีใบประมาณ 5-7 ใบ จึงทำการย้ายลงปลูกในกระถางใหม่ต่อไป
การผสมพันธุ์
การผสมพันธุ์เป็นการขยายพันธุ์อีกวิธีหนึ่งที่ผู้ผสมมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดโป๊ยเซียนพันธุ์ใหม่ๆที่ดีขึ้น โป๊ยเซียนต้นใหม่ที่ได้จากการผสมพันธุ์ จะมีลักษณะแตกต่างไปจากต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ซึ่งอาจจะดีกว่าหรือด้อยกว่าก็ได้ในปัจจุบันผู้ปลูกเลี้ยงโป๊ยเซียนได้ผสมพันธุ์โป๊ยเซียนขึ้นมาใหม่มากมายได้มีการจดทะเบียนตั้งชื่อแตกต่างกัน ชื่อแต่ละชื่อจะมีลักษณะไปในทางที่เป็นศิริมงคลแทบทั้งสิ้น พันธุ์ใดที่มีลักษณะดี ดอกใหญ่ สีสวยแปลกตา ดอกบานทน
ก็จะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ปลูกเลี้ยง วิธีการผสมพันธุ์โป๊ยเชียนมีขั้นตอนดังนี้
  • เลือกต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มีลำต้นอวบใหญ่แข็งแรงใบใหญ่หนาสีเขียวสใสหนามใหญ่ดอกใหญ่สีสวยจำนวนดอกมากกว่า8ดอก ต้นแม่พันธุ์ควรเป็นต้นที่ติดเมล็ดง่าย และต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไม่ควรมาจากสายพันธุ์เดียวกันเพราะจะทำให้ต้นลูกที่ได้มีลักษณะด้อยไปกว่าเดิม การเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ลักษณะดีและสายพันธุ์ถูกต้องจะทำให้ลูกไม้ที่ได้จากการผสมมีโอกาสเป็นโป๊ยเซียนพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะดีกว่าเดิม
  • การผสมพันธุ์โป๊ยเซียนสามารถทำได้ทุกฤดูแต่ฤดูที่เหมาะสมควรเป็นฤดูหนาวช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์  ซึ่งเป็นช่วงที่โป๊ยเซียนมีความอุดมสมบูรณ์ ออกดอกมาก เมล็ดที่ได้มีขนาดใหญ่เมื่อนำไปเพาะจะได้ลูกไม้ที่แข็งแรงสมบูรณ์
  • สังเกตุความพร้อมของเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียดอกโป๊ยเซียนเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียอยู่ตรงกลางดอกและบานก่อนเกสรตัวผู้ประมาณ2-3วัน   การสังเกตุเกสรตัวเมียว่าพร้อมที่จะผสมพันธุ์หรือไม่ให้สังเกตุที่เกสรตัวเมียจะมีน้ำเหนียวเยิ้มออกมา หลังจากเกสรตัวเมียบาน2-3วัน จะมีก้านชูเกสรตัวผู้ขึ้มาบริเวณกลางดอกประมาณ 5-7 อัน   ละอองเกสรตัวผู้ที่พร้อมจะผสมพันธุ์จะมีลักษณะเป็นขุยๆ สีเหลือง
  • การถ่ายละอองเกสรควรทำในช่วงเช้า 7.00-9.00 น. เพราะเป็นช่วงที่ดอกโป๊ยเซียนสดชื่นและมีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์ การถ่ายละอองเกสรทำได้โดยใช้ภู่กันขนาดเล็กแตะยอดเกสรตัวผู้ของต้นพ่อพันธุ์แล้วนำไปแตะกับเกสรตัวเมียที่พร้อมผสมพันธุ์ของต้นแม่พันธุ์ การผสมควรทำซ้ำ 2-3 ครั้ง จากนั้นคลุมด้วยถุงพลาสติกเจาะรูระบายอากาศเพื่อป้องกันแมลงมาผสมซ้ำ บันทึกชื่อพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ วันและเวลาที่ผสมผูกติดกับถุงพลาสติก
  • หลังจากผสมเกสรเสร็จแล้วประมาณ7วัน กลีบดอกจะเริ่มเหี่ยว เมล็ดจะเริ่มขยายตัวเป็นพูจำนวน 3 พู ชูสูงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นเมล็ดจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ายเมล็ดพริกไทย
  • การเก็บเมล็ดควรเก็บเมล็ดที่แก่เต็มที่ มีลักษณะแห้ง สีน้ำตาลคล้ำ การเก็บควรเก็บในช่วงเช้าเพราะช่วงบ่ายเปลือกที่หุ้มเมล็ดจะแห้งและอาจดีดเมล็ดให้กระเด็นออกมาได้ การใช้ถุงพลาสติกใบเล็กๆ คลุมที่ดอกที่ผสมติดจะช่วยให้เมล็ดแก่ที่ถูกดีดออกมาตกอยู่ภายในถุงไม่หายไปไหน นำเมล็ดโป๊ยเซียนที่ได้ไปทำการเพาะเมล็ดต่อไป